Range

นี่ยังเป็นคำถามที่น่าจะถูกถกเถียงกันในแวดวงวิชาการกันจำนวนมากครับ และหนังสือเล่มนี้ก็ยังเป็นหนึ่งในประเด็นที่ยังถกเถียงกันอยู่
แน่นอนว่าต่างคนก็ต่างความคิดกัน ไม่ว่าจะเริ่มเร็วหรือเริ่มช้า แต่เราก็มีโอกาสในการประสบความสำเร็จได้ครับ
เป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไร ?
หนังสือเล่มนี้ จะเป็นตัวอย่างของคนที่มีความสามารถรู้กว้างที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าการรู้ลึกนั้นไม่ดีนะครับ เพียงแต่การที่ค่านิยมของ ลัทธิเริ่มก่อนได้เปรียบ อาจถูกประเมินค่าสูงเกินไป ทำให้มุมมองความสำเร็จจากคนที่เริ่มทีหลังถูกมองข้ามไป
อ่านยากไหม ?
ผู้เขียนจะใช้การเล่าเรื่องจากคนที่ประสบความสำเร็จ (แต่มีบางคนที่เราอาจไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน) และเรื่องที่เล่านี้จะสอดคล้องกับเนื้อหาในแต่ละบท ซึ่งไม่ใช่การชี้นำแต่ยังใด แต่เป็นการที่ ให้ผู้อ่านได้ทำการคิดและวิเคราะห์หาคำตอบนั้นด้วยตนเอง
ซึ่งการจะอ่านหนังสือเล่มนี้ให้ได้ประโยชน์สูงสุด อาจจะต้องอ่านและคิดตามด้วย ซึ่งบางทีอาจจะรู้สึกอ่านแล้วไม่ค่อยราบรื่น
แต่หากเรา ลองอ่านช้าๆแล้วค่อยๆคิดตาม จนสามารถเข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อ จะทำให้เราอ่านหนังสือเล่มนี้ได้สนุกขึ้นครับ
เนื้อหาคร่าวๆ เป็นอย่างไร ?
ผู้เขียนจะแบ่งเนื้อหาออกเป็น 12 บท ซึ่งแต่ละบทก็จะเป็นเนื้อหาที่แตกต่างกัน โดยจะมีชีวประวัติของผู้ที่ประสบความสำเร็จมากมายแบ่งกันไปตามหัวข้อต่างๆ ในบทความนี้ผมขอยกตัวอย่างหัวข้อมมาเรียกน้ำจิ้มสัก 2 บท มาให้ลองชิมกันก่อนครับ
เรียนเร็ว เรียนช้า
บทนี้จะเริ่มจากการศึกษาวิจัยในการสอนของคุณครูในโรงเรียนอนุบาล ซึ่งมีการต้องคำถามแก่เด็กนักเรียนอยู่ 2 ประเภท ได้แก่
- การตั้งคำถามให้ใช้กระบวนการ (Using procedures)
- การตั้งคำถามเพื่อให้สร้างความเชื่อมโยง (Making connections)
ซึ่งคำถามทั้ง 2 แบบนี้ ต่างกันที่วัตถุประสงค์และกระบวนการคิดเพื่อหาคำตอบ
แต่สิ่งที่เป็นปัญหา อาจจะเกิดจากการที่เมื่อครูถามนักเรียนโดยเริ่มจาก การตั้งคำถามเพื่อให้สร้างความเชื่อมโยง แล้วนักเรียนไม่สามารถหาคำตอบได้ แต่ครูกลับไปให้ คำใบ้ กับนักเรียน แทนที่จะให้นักเรียนคิดหาคำตอบด้วยตนเอง กลับกลายเป็น คำถามให้ใช้กระบวนการ นั่นคือนักเรียน ทำการเดาสุ่มคำตอบ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะตอบถูก ทำให้ไม่เข้าใจถึงบทเรียนอย่างถ่องแท้
สิ่งนี้เป็นปัญหาในระยะยาว เพราะเป็นการมองข้าม อุปสรรคที่พึงปรารถนา(desirable difficulty) ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้การเรียนรู้นั้น เป็นเรื่องท้าทาย เชื่องช้าและน่าหงุดหงิดใจในระยะสั้น
ก็เป็นที่น่าเสียดายเพราะในระยะยาวการยอมรับในอุปสรรคที่พึงปรารถนาจะยั่งยืนอยู่ในความรู้ของเรามากกว่า
ในการเรียนรู้ที่ยั่งยืนในระยะยาวนี้ เราควรทำสิ่งที่เรียกว่า การเว้นระยะหรือการกระจายการฝึก(spacing)
- คือการเว้นช่วงระหว่างการฝึกแต่ละครั้งในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง
- ซึ่งการตอบถูกระหว่างเรียนไม่ใช่เรื่องแย่ แต่เราก็ไม่ควรรีบรุดก้าวหน้าเร็วเกินไป
- เพราะภาพรวมของความรู้ระเหิดหายไปรวดเร็ว เมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้
- การได้รับคำใบ้มากเกินไปทำให้เข้าใจผิดว่าเกิดความเชี่ยวชาญเฉพาะหน้าระดับสูง แต่ความเชี่ยวชาญนี้ก็ไม่อาจอยู่รอดผ่านบททดสอบในโลกอันโหดร้าย
- ยาแก้ที่ง่ายที่สุดคือ ลองเว้นระยะให้นานอีกหน่อย ก่อนที่จะทำการฝึกเรื่องนั้นซ้ำ เพื่อที่บททดสอบจะได้ยากขึ้น
คิดนอกประสบการณ์
การคิดเชิงเปรียบเทียบระดับลึกซึ้ง คือ การมองเห็นแนวคิดที่คล้ายคลึงกันในสาขาวิชา หรือสถานการณ์ต่างๆ ที่ดูผิวเผินแล้วแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เดเดร เกนต์เนอร์ นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น เคยให้ความเห็นไว้ว่า
ซึ่งการคิดเชิงเปรียบเทียบนี้ ทำให้มนุษย์อย่างเรา
- มองสิ่งใหม่ ผ่านเลนส์ของสิ่งที่คุ้นเคย หรือ หยิบสิ่งที่คุ้นเคยมาปรับใช้รูปแบบใหม่
- และทำให้มนุษย์ คิดวิเคราะห์ปัญหาที่ไม่เคยเจอมาก่อน ในบริบทที่ไม่คุ้นชินได้
- ทำให้เรา เข้าใจสิ่งที่ไม่อาจมองเห็นได้โดยสิ้นเชิง ด้วย
ในโลกของเรานั้น ไม่ได้อ่อนโยน และมันต้องการการคิดแบบที่ไม่ขึ้นกับประสบการณ์ดั้งเดิมของเรา
- เราจึงต้องเลือก กลยุทธ์แก้ปัญหา ให้เหมาะกับโจทย์ที่ไม่เคยเจอมาก่อน
- ในชีวิตประจำวัน เราต้องนึกเปรียบเทียบกับสถานการ์ที่คล้ายคลึงกันแค่ใน เชิงนามธรรมหรือเชิงความสัมพันธ์
- และยิ่งถ้าเราอยากมีความคิดสร้างสรรค์มากเท่าไรนั่น กลยุทธ์แก้ปัญหาแบบใหม่ ก็ยิ่งเป็นสิ่งจำเป็นมาขึ้นเท่านั้น
การพึ่งพา การให้เหตุผลแบบอ่อนโยนหรือการใช้อุปมาแรกที่นึกออก โดยเฉพาะอุปมาที่มาจาก สถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน
- เป็นการใช้ มุมมองภายใน(inside view) หรืออาจจะเรียกว่าเป็นมุมมองของความเชี่ยวชาญในด้านเดียวกันกับปัญหา
- และยิ่งเรารู้รายละเอียดวงในของสถานการณ์มาก การประเมินของเราจะยิ่งสุดโต่งไปด้วย
การที่เรามีแนวโน้มที่เราจะใช้มุมมองภายในตามธรรมชาติ อาจถูกแก้ไขได้ด้วย การใช้อุปมาที่นำไปสู่ มุมมองภายนอก(outside view)
- เป็นการพยายามหา ความเหมือนเชิงโครงสร้างระดับลึกในสถานการณ์ที่ต่างออกไป และมันสวนกระแสสามัญสำนึกอย่างยิ่ง เพราะมันต้องการให้ผู้ตัดสินใจมองข้ามคุณสมบัติผิวเผินที่อยู่ตรงหน้า และ หันไปมองภายนอกเพื่อหาตัวอย่างเปรียบเทียบ ที่มีโครงสร้างเหมือนกันแทน
- แต่สิ่งนี้ทำให้เปลี่ยนวิธีคิด จากแคบเป็นกว้าง ยิ่งกรณีเปรียบเทียบห่างไกลโจทย์ตรงหน้าเท่าไร ก็ยิ่งทำให้คิดอะไรดีดีได้มากเท่านั้น
Netflix ปรับปรุงอัลกอริทึมแนะนำภาพยนตร์
- การถอดรหัสภาพยนตร์เพื่อหาเรื่องที่คุณชอบนั้นซับซ้อนมาก และแม่นยำน้อย
- แต่การเปรียบเทียบคุณกับลูกค้าคนอื่นๆ ที่มีประวัติการรับชมคล้ายกัน กลับได้ผลมากกว่า
- แทนที่จะพยากรณ์ว่าคุณชอบอะไร แต่พวกเขาสำรวจว่า คุณเหมือนใคร แทน
ในการแบ่งแยกประเภทหรือหมวดหมู่นี้ น้อยคนที่จะสามารถจัดกลุ่มได้ตามโครงสร้างเหตุและผล
- การมองหาจุดร่วมในโครงสร้างเชิงลึกได้เก่งเป็นพิเศษ ต้องอาศัยความรู้ในหลากหลายสาขา
- การเรียนรู้ หลากหลายศาสตร์พื้นฐาน คือ ต้นกำเนิดของวิธีคิดเชิงเปรียบเทียบ และเชื่อมโยงมโนทัศน์ ช่วยให้สามารถจัดประเภทของปัญหาที่เผชิญอยู่ได้ ซึ่งทักษะนี้เป็นทักษะที่สามารถตัดสินได้ว่า ใครเป็นนักแก้ปัญหาที่เก่งที่สุด
- นักแก้ปัญหาที่ประสบความสำเร็จ มีความสามารถในการ มองเห็นโครงสร้างปัญหาเชิงลึก ก่อนการเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม
- นักแก้ปัญหาที่ประสบความสำเร็จน้อยกว่า มักจัดกลุ่มปัญหาโดยอาศัยเพียง คุณสมบัติผิวเผิน ที่มองเห็นได้ง่าย
หนังสือเล่มนี้เหมาะกับใคร ?
เหมาะอย่างยิ่งกับคนที่กำลังคิดว่า…
แต่ความจริงแล้ว ไม่มีคำว่าช้าเกินไป มีแต่คำว่า จะเริ่มเมื่อไหร่ เพราะการที่เราเริ่มช้า ไม่ได้หมายความว่าเราอยู่เฉยๆ แล้วปล่อยเวลาให้ผ่านไป แต่มันคือ
ช่องทางสนับสนุน🙏
Note
สั่งซื้อหนังสือ Range ตาม Link นี้ https://s.shopee.co.th/11upn0ZDf